วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

สุราต่างประเทศ




วิสกี้ Johnnie Walker 
 ลักษณะประเภทของวิสกี้ เราแบ่งวิสกี้ตามวัตถุดิบ จะมีวิสกี้ 2 แบบ คือ แบบเกรนวิสกี้ และ แบบมอลต์วิสกี้ แต่เราแบ่งโดยใช้ลักษณะของการผสม หรือ การกลั่นเราจะแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ เบลนเดตวิสกี้ และ ซิงเกิลมอลต์วิสกี้

- เบลนเดตวิสกี้คือ การนำเอา เกรนวิสกี้ กับ มอลต์วิสกี้มาผสมเข้าด้วยกันครับ เช่น ชีวาส และตระกูลคนเดินทน เว้น ฉลากเขียว เป็นต้น

- ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ คือ วิสกี้ที่เกิดจาก มอลต์วิสกี้ที่ผ่านการกลั่นโดยโรงกลั่นเพียงครั้งเดียว ไม่มีการผสมมอลต์อื่น เช่น Glenfiddich

- เบลนมอลต์ คือ วิสกี้ที่เกิดจากการผสม มอลต์วิสกี้ต่างชนิดเข้าด้วยกัน เช่น จอห์นี่วอลเกอร์ ฉลากเขียว



Johnnie Walker เป็น เบลนเดตวิสกี้ (Blended whiskey) ซึ่งไม่ได้ทำมาจากมอลท์วิสกี้ตัวเดียว (Single Malt) เกือบทุกรุ่นจะผสม Grain Whiskey เป็นวิสกี้ที่ผลิตจากข้าว หรือ ธัญพืชอย่างอื่น(ที่ไม่ใช่บาร์เลย์) เพียงอย่างเดียว ซึ่งทำมาจากข้าวคนละพันธ์หรือวิธีการหมักคนละวิธี

มีเพียงฉลากเขียวเท่านั้นที่ทำมาจากมอลท์ล้วน ซึ่งก็ไม่ใช่ Single Malt อีกเช่นกัน แต่เป็น Blended Malt นั่นคือเอา Single Malt หลายตัวมาผสมกัน ซึ่งจากที่ผมเคยดื่มฉลากเขียวจัดว่ารสชาตินั้นโอเคเลยทีเดียว

ปัจจัย ที่ทำให้วิสกี้แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกัน ทั้งทางด้านสีสัน รสชาติ และกลิ่น มีตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ที่แตกต่าง นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพลจากหินถ่าน ที่เรียกว่า พีต (Peat) ที่ใช้ในการเผาเมล็ดธัญพืชก่อนที่จะมากลั่น หินถ่าน ที่ได้จากแต่ละแห่งของสกอตแลนด์ จะให้กลิ่นที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับชนิดของยีสต์ ที่ใช้ในการหมักบ่มก็ส่งอิทธิพลต่อรสชาติของวิสกี้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพลอื่นๆ อย่าง หม้อกลั่นรูปทรงต่างๆ และที่สำคัญมากๆ ก็คือ น้ำที่นำมาใช้ในการกลั่น สำหรับในสกอตแลนด์ ที่มีโลว์แลนด์ ไฮแลนด์ และสเปรย์ไซด์ ก็จะมีน้ำที่รสชาติแตกต่างกัน

ค่า นิยมการดื่ม Johnnie Walker นี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ เปิดตามาก็เจอโฆษณาและเห็นคนดื่มรุ่นก่อน ส่วนใหญ่จะบริโภค Johnnie Walker จึงทำให้เป็นภาพติดตา และพอเริ่มดื่มให้คุ้นลิ้นคุ้นคอกันมาเรื่อย ประกอบกับการประโคมโฆษณาตามสื่อทำให้ขายดีเข้าไปใหญ่

ลองมาทำความรู้จักกับน้ำเมาตระกูลนี้ กันเป็นรายป้ายเลยดีกว่าว่ามีรายละเอียดคร่าว ๆ กันอย่างไรบ้าง


Johnnie Walker Red Label - บ่ม 8 ปี 
นี่คือวิสกี้ที่ขายดีที่สุดในโลก และเป็นวิสกี้ระดับแสตนดาร์ดแบรนด์ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย
วันนี้ มาทำความรู้จัก Red Label กันให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ

Red Label หรือในอดีตชื่อ JW Special Old Highland (เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Red Label ในปี 1909)
เป็นวิสกี้ตระกูล JW ชนิดเดียว ที่ไม่ได้เป็น Scoth Whisky แท้ 100%
หากแต่ว่า JW เน้นไปที่รสชาดของวิสกี้ ที่สามารถปรับให้เข้าได้กับทุกสถานการณ์
มีทั้งความหวาน ความนุ่ม และความเผ็ดร้อนในเวลาเดียวกัน

Red Label เป็น Blended Whisky ที่ผ่านการผสมมาจาก Malt และ Blended Whisky 35 ชนิด
เป็น JW หนึ่งในไม่กี่ชนิด ที่ผลิตออกมาในขนาดที่แตกต่างกันออกไป
แต่ทุกขวดจะมีลักษณะเหมือนกันคือ ขวดทรงสี่เหลี่ยม และ ฉลากสีแดงขอบทอง
สัญลักษณ์เด่นอีกอย่างคือ ไสตรดิ้งแมน หรือกล่องของ Red Label
ที่สามารถนำมาเรียงต่อกันกลายเป็นฉลาก Red Label ขนาดใหญ่ได้

ข้อแนะนำในการดื่ม Red Label
สำหรับการดื่ม Red Label นั้น ไม่มีวิธีการดื่มทีแนะนำตายตัวมาจาก JW
สามารถดื่มผสมกับอะไรก็ได้ กินเพียวก็ได้ หรือจะนำไปทำค๊อกเทลก็ยังได้
บวกด้วยเรื่องของราคา ทำให้ Red Label เป็นเหล้าที่ขายดีที่สุดในปัจจุบัน 



Johnnie Walker Black Label - บ่ม 12 ปี

เป็น เบลนวิสกี้ (Blended Whisky)  คือเอาทั้ง มอลท์ และ เบลนมาผสมกัน
นี่คือวิสกี้ที่ JW ยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของวิสกี้ตระกูล JW ทั้งหมด
Johnnie Walker Black Label เป็น Blended Whisky อายุ 12 ปี
เป็นวิสกี้ Johnnie Walker ที่เก่าแก่ที่สุด โดยวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1865
ในชื่อของ Walker's Old Highland ก่อนจะมาใช้ชื่อ Extra Special Old Highland ในปี 1906 - 1908
และสุดท้ายในปี 1909 ก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Black Label จนถึงทุกวันนี้

ลักษณะเด่นของ Black คือกลิ่นหอม รมควันถ่านพีท กลิ่นขิงวานิลลา และกลิ่นผลไม่อย่างลูกแพร และแอปเปิ้ล
และส่วนผสมจาก เกรนและมอลท์ วิสกี้กว่า 40 ชนิด ผสมผสานออกมาเป็น JW Black Label ในปัจจุบัน

วิธีการดื่ม JW Black Label ที่ดีที่สุด จำกันเอาไว้นะครับ
Black จะต้องดื่มโดยผสมกับน้ำและน้ำแข็ง เพื่อที่จะทำให้ได้กลิ่นของบุหรี่แห้ง
กลิ่นของวานิลลา และกลิ่นของผลไม้ ที่จะอบอวลขึ้นมาหลังจากได้สัมผัสกับน้ำ
การผสมน้ำจะทำให้ได้รสของวิสกี้ที่ Strong ขึ้น (ภาษาไทยน่าจะเป็นคำว่า เข้มขึ้นครับ)


Johnnie Walker Green Label - บ่ม 15 ปี

รู้หรือไม่ว่า Green Label เป็น Rare Whisky ราคาถูก ที่หาซื้อได้เพียงในบางประเทศเท่านั้น
ถ้าไม่รู้ ลองอ่านดูครับ มีเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ Green Label อีกเยอะ

JW Green Label หรือ ในอดีตที่เราคุ้นเคยในชื่อของ JW Pure Malt
เป็นวิสกี้น้องใหม่ที่สุดในบรรดา 5 Label ทั้งหมด

ความพิเศษของวิสกี้ที่หมักบ่มนาน 15 ปีชนิดนี้ อยู่ตรงที่ Green Label เป็นวิสกี้ชนิดเดียวที่มีเพียงส่วนผสมของ Malt Whisky
โดยไม่มี Grained Whsiky ผสมอยู่เลย แถมส่วนผสมวิสกี้ทั้ง 15 ชนิดที่นำมา Blended จนกลายเป็น Green Label นั้น
มาจากแหล่งกำเนิด Whisky ชั้นดีของสก๊อตแลนด์คือ Talisker, Cragganmore, Linkwood, และ Caol Ila
จนกลายเป็น Pure Malt Green Label ในปัจจุบัน

วิธีการดื่ม Green Label ให้ได้รสชาติมากที่สุด จำไว้นะครับ
ให้กินในแบบของ On the Rock ด้วยการริน Green Label ลงในแก้วพอประมาณก่อน
หลังจากชิมและรับกลิ่นรมควันจางๆและไอทะเล กลิ่นถังเชอรรี่ รวมถึงผลไม้ชนิดต่างๆ
เช่น แอพพริคอท ผิวส้ม พีช บวกกับกลิ่นเปลือกไม้ป่า และหญ้าอ่อน

หลังจากนั้นจึงใส่น้ำแข็งตามไป 1 - 2 ก้อน จะได้เห็นน้ำมันของวิสกี้ Fusil Oil
และจะได้รับกลิ่นที่หอมเข้มข้นขึ้นตามลำดับ เมื่อวิสกี้ได้สัมผัสความเย็น

Green Label มีเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อดื่มแล้วรสชาติจะแตกต่างกันทุกครั้ง
จากส่วนผสมต่างๆของ Pure Malt ทั้ง 15 ชนิดนั่นเอง 


ohnnie Walker Gold Label -  บ่ม 18 ปี

วิสกี้สีทอง ที่มีลักษณะการดื่มให้ได้รสชาติดีที่สุด ที่ต่างออกไปจากเพื่อนร่วมตระกูล

Gold Label ถูกเปิดตัวขึ้นเมื่อปี 1920 ในโอกาสครบรอบ 100 ปี Johnnie Walker
เป็นที่มาของคำว่า Century Blend ที่จารึกอยู่บนฉลากของ Gold ทุกขวด

วิสกี้ หายากทุกชนิดที่ผสมออกมาเป็น Gold มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี รวมทั้งน้ำแร่บริสุทธิ์ และถังสำหรับหมัก รวมทั้งส่วนผสมหลักคือ Clynelish ซึ่งเป็นวิสกี้มอลท์ที่หายาก และราคาสูง ทำให้เกิดสีทอง ในตัววิสกี้ Gold ขวดนี้

เนื่องจากการดื่มวิสกี้ ไม่จำเป็นจะต้องคำนึงว่า วิสกี้จะเกิดการแข็งตัวเมื่อนำไป Frozen หรือ แช่ให้เย็นจัด โดยเฉพาะ Gold ขวดนี้ยิ่งคุณได้สัมผัสมัน ด้วยความเย็นมากเท่าไหร่รสชาติและกลิ่นของ Gold ขวดนี้ จะยิ่งนุ่มและอบอวลขึ้น

การจิบควรจิบทีละน้อย และยิ่งถ้าได้ ช็อคโกแลต มารับประทานด้วยแล้ว
คุณจะได้สัมผัส ความพิเศษ ว่าทำไม วิสกี้ขวดนี้ จึงได้รับให้ประดับด้วยฉลากสีทอง


Johnnie Walker Blue Label  - บ่ม 25 ปี 

นี่คือวิสกี้ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในวิสกี้ ที่ดีที่สุดในโลก
นี่คือการผสมผสานของ เกรนวิสกี้ และ มอลท์วิสกี้ จำนวน 16 ชนิด
ที่ต้องบอกว่า แพงที่สุดในโลก เพราะอะไรนั่นหรือ

เพราะในจำนวน 16 ชนิดดังกล่าว มีบางชนิดที่ผ่านการหมักบ่มมากว่า 60 ปี
และที่สำคัญ ในจำนวนวิสกี้ 1 ล้านถัง ที่ดิอาจิโอ ทำการผลิต
จะมีเพียง 1 หรือ 2 ถัง เท่านั้น ที่นำมาเป็นส่วนผสมของ Blue Label
ทุกขวดจะมีหมายเลขกำกับ เพื่อแสดงถึงจำนวนที่ผลิตว่า หาได้ยากยิ่งขนาดไหน

Blue ขวดนี้ จะมีจุกขวดที่ทำจากไม้ก๊อก หุ้มตะกั่วสีทอง
มีกล่องบรรจุใส่เป็นสีน้ำเงิน และทอง บุภายในด้วยผ้าซาตินอย่างดี

การดื่ม จำไว้ว่า อย่าเอาไปผสมมิกเซอร์
การดื่มที่ดีที่สุด แน่นอนครับ วิสกี้ระดับนี้ จะต้องเป็นการดื่มแบบ จิบวิสกี้ โดยไม่เติมอะไร
หรือภาษาบ้าน ๆ ก็เรียกว่า ดื่มกันเพียว ๆ นี่แหละครับ
เจ้าของ JW บอกมาว่า จะให้ดี ควรจะอมน้ำแข็งให้เกิดความเย็นในปาก
เมื่อน้ำแข็งละลายหมด จึงค่อยจิบ Blue เข้าไป จะได้รับรสชาดที่ดีที่สุด

แล้วจะได้รู้ว่า วิสกี้ที่ว่ากันว่า ล้ำลึกที่สุดในโลก รสชาติเป็นเช่นใด

เทคนิคการดื่ม จอห์นนี่วอล์กเกอร์ ชั้นเทพ




เริ่มจาก ' เรด เลเบิ้ล ' (Red Label) กันก่อนเลยดีกว่า จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล น่าจะดูถูกใจคนไทยที่สุด
เพราะน้องเล็กสุดขวดนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน
พูด ง่ายๆ ก็คือกินได้นานๆ สนุกสนานกันทั้งคืนนั่นแหละ แถมวิธีการกินที่ถูกต้องนั้น ก็ต้องผสมกับ ' มิกเซอร์ ' ทั้งหลาย อันเป็นวิธีการดื่มที่นิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้วซะอีก
ตอนนี้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ก็เลยขายดีที่สุดไปโดยปริยาย ง่ายๆ จะใส่น้ำแข็ง ผสมโคล่า ชามะนาว หรือโซดาก็ได้ทั้งนั้น
สุดแล้วแต่ว่าจะชอบรสชาติแบบไหนหลังผสมมิกเซอร์แล้วเท่านั้นเอง
แต่นัก ดื่มมืออาชีพมักนิยมผสมน้ำก่อนแล้วจึงผสมโซดาตามลงไป ในอัตราส่วน2:1หรือที่เรียกกันว่า ' โซดาลอย ' นั่นเอง ...
ผสมเสร็จก็ เอ็นจอย ดริ๊งกิ้ง กันได้ทั้งคืน ( แต่อย่าขับรถหลังดื่มนะ )





โต ขึ้นมาหน่อย กับความเคร่งขรึมแบบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล วิสกี้ชั้นดีจากการหมักบ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่คลาสสิกที่สุดนานถึง 12 ปี
วิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็คลาสสิกไม่แพ้รสชาติของตัววิสกี้ เท่ๆ ดูดีด้วยสไตล์ที่เรียกกันว่า ' ออน เดอะ ร็อก ' นั่นเอง
หรือถ้าอยากย๊ากอยากจะผสมมิกเซอร์เหลือเกิน ก็ต้องใส่น้ำแข็งเข้าไปเยอะ ๆ วิสกี้ ครึ่งแก้ว และโซดาอีกครึ่งแก้ว แค่นี้แหละ
ก็จะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล



ส่วน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล อายุ 15 ปี ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้น หาน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ สักก้อน ใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียว ไม่ต้องกลัวว่าน้ำแข็งก้อนนั้นจะเหงา เพราะเราจะเฝ้ามองอย่าทะนุถนอม จาก นั้นริน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ลงไปไม่ต้องท่วมน้ำแข็ง แกว่งแก้วเล็กน้อย ให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโต ดมกลิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนลิ้มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดี
งานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง ( อันนี้เคยเสียของมาครั้งหนึ่งแล้ว )



มาถึง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล อายุ 18 ปีกันมั่ง 

แค่ นำ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ไปใส่ในช่องแช่แข็งสัก 24 ชั่วโมง ถ้าที่ในช่องแช่แข็งยังเหลือก็นำแก้วทรงสูงเปล่าๆ แช่ไว้ด้วย พอได้ เวลา ก็รินใส่แก้วที่แช่ไว้ข้างกันๆ นั่นแหละ แล้วดื่มเข้าไปเลย ทันทีที่ วิสกี้เย็นจัดปะทะกับความอุ่นในปาก กลิ่นหอมหวนนุ่มลิ้นจะอบอวล
แหม ... ยิ่งถ้ามีช็อกโกแล็ตดี ๆ ไว้กินเข้าคู่ล่ะก็ จะเป็นความสุขที่ลืมไม่ลงเลยเชียว



ปิดท้ายกันที่วิสกี้ชั้นสูง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล อายุ 25 ปี ที่หมักบ่มจากมอลต์คุณภาพสูง ตามวิธีการคลาสสิกแบบศตวรรษที่ 19 

วิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็คลาสสิกมาก เตรียมแก้วบรั่นดีสวยๆ ไว้สัก 2 ใบ
แก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ส่วนอีกแก้วนึงรินน้ำแร่เย็น ๆ ไว้เช่นกัน ดื่มน้ำแร่เย็น ๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน
จากนั้นจิบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล ในแก้วบรั่นดีอีกใบตาม
เมื่อ น้ำแร่เย็น ๆ ที่หลงเหลืออยู่ในช่องปากผสมกับวิสกี้ชั้นดีนี้ รสชาติที่แอบซ่อนจะซึมผ่านเพดานปากไปมัดใจนักดื่มเหล้าทั้งหลายไม่รู้ลืม

เสร็จ สิ้นครบทั้ง 5 เลเบิ้ลของตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กันแล้ว ต่อจากนี้นักดื่มเหล้าชาวไทยทั้งหลาย ก็จะดื่มได้แบบไม่เสียของกันแล้ว
แต่ ที่สำคัญที่สุด ดื่มแล้วจะมึนน้อยหรือมึนมาก ก็อย่าขับรถเลย เก็บชีวิตที่มีค่าไว้สัมผัสกับสิ่งดี ๆ ที่รอเราอยู่มากมายในวันข้างหน้าดีกว่า ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น