วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

สุราแพงที่สุดในโลก

เหล้าที่เราควรรู้จักก่อนไปดูเหล้าที่แพงที่สุดในโลก!!!!!!!!!

1. 
ตากีลา (Tequila) บางคนอาจเรียกเตกีล่านะ
ตากีลาเป็นเหล้าสีขาว กลิ่นแรง หมักจากพืชที่เรียกว่า Mezcal ผลิตในประเทศเม็กซิโก ปกติตากีลาจะมีสีขาว แต่บางชนิดมีสีเหลืองทองจากการเก็บบ่มในถังไม้
ปกติชาวพื้นเมืองเม็กซิโก นิยมดื่มเหล้าตากีลาโดยไม่ผสม หากแต่ก่อนดื่มจะหยิบเกลือใส่ปาก บีบมะนาวตาม แล้วจึงยกเหล้าขึ้นดื่ม เพื่อให้รสชาติของเหล้าคลุกเคล้ากับเกลือและมะนาวในปาก ในปัจจุบันนิยมนำตากีลามาทำเป็นเครื่องดื่มผสม เช่น Tequila Sunrise, Margarita เป็นต้น
เหล้าตากีลาที่รู้จักกันดีในประเทศไทย El-Toro, Cuervo, Sauza

2.วอดก้า (Vodka)
วอดก้าเป็นเหล้าสีขาวใส มีกลิ่นเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก ดีกรี 400 - 500 ต้นกำเนิดอยู่ในรัสเซียและโปแลนด์ สมัยก่อนไม่เป็นที่รู้จัก แต่ในปัจจุบันเป็นเหล้าที่นิยมกันมาก เป็นเหล้าที่หมักจากข้าวหรือมันฝรั่งผ่านการกรองและดูดกลิ่นจนเหลือสีเจือปนและกลิ่นน้อยที่สุด วอดก้าของรัสเซียหรือโปแลนด์บางชนิดนิยมแช่สมุนไพร หรือเครื่องเทศเพื่อให้เป็นเหล้ายา แต่ไม่ค่อยพบในท้องตลาดบ้านเรา
คำโฆษณาที่ว่า "It will leave you breathless" คือเมื่อดื่มวอดก้าแล้วจะไม่มีกลิ่นติดค้างเมื่อหายใจ เครื่องผสมวอดก้าที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ Screw Driver, Bloody mary, Vodka Martini, Salty Dog's เป็นต้น
ส่วนเหล้าวอดก้าที่รู้จักกันดีในประเทศไทย คือ Borzoi, Smirnoff, Stolighinaya

3.จิน (Gin) บางคนอาจเรียกยินนะเเต่ถ้าออกเสียงจริงจริงเรียกจิน
จิน เป็นเหล้าสีขาว ที่มีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ ทำมาจากการกลั่นข้าวและผสมกลิ่นรสชาติของสมุนไพร และผลจูนิเปอร์ เป็นที่นิยมกันมากในฮอลันดา สมัยก่อนจึงเรียกจินว่า "Dutch Courage" และได้รับการเปลี่ยนชื่อให้เรียกสั้น ๆ ว่า Gin
ปัจจุบันผลิตกันในหลาย ๆ ประเทศ กลิ่นและรสชาติก็แตกต่างกันไป เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีการผลิตและส่วนผสม
- จินที่ผลิตจากประเทศฮอลันดา รสจะเข้มข้นมาก นิยมดื่มโดยไม่ผสม แต่ควรแช่ให้เย็นจัด
- จินจากอังกฤษและอเมริกา นิยมดื่มเป็นเครื่องดื่มผสม ที่รู้จักกันแพร่หลาย เช่น Gin Tonic, Orange Blossom, Tom Collins, Martini
จินที่รู้จักกันดีในประเทศไทย เช่น Beefeater, Gordon และ Gilbey's ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้คำว่า London Dry Gin

4.แอพเพอริทิฟ (Aperitif)
แอพเพอริทิฟ คือเหล้าที่นิยมดื่มก่อนอาหาร เป็นเครื่องดื่มเก่าแก่ จัดอยู่ในประเภทเหล้ายา นิยมมากในประเทศฝรั่งเศส อิตาลี ทำจากเหล้า เหล้าองุ่น สมุนไพร และเครื่องเทศ แบ่งเป็น 3 ชนิด
3.1 เวอร์มุธ (Vermouth) เป็นเหล้ายาทำจากรากไม้ รากยาและเครื่องเทศ มีกลิ่นและรสชาติแตกต่างกันออกไป รสชาติของเหล้าเวอร์มุธคล้ายกับยาบำรุงเลือดลมของไทยมีหลายยี่ห้อ เช่น Martini, Cinzano, Barbero, Dubonet, Pimm's No.1 เป็นต้น
3.2 บิตเตอร์ (Bitter) เป็นเหล้าที่มีรสขม นิยมดื่มแก้โรคกระเพาะ และช่วยย่อยอาหาร บางชนิดขมมาก บางชนิดขมอมหวาน เช่น Campari, Fernet Branca, Branca Menta, Angostura Bitter
3.3 อนิซ (Anis) เป็นเหล้ายาสีเหลืองใสทำจากเมล็ดของ Anis กลิ่นหอมเย็น ๆ นิยมดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น Pernod, Ricard, Pastis
เหล้าแอพเพอริทิฟ นอกจากนิยมดื่มเพื่อเป็นยาแล้ว ยังนิยมนำไปทำเครื่องดื่มผสมอื่น ๆ อีกมากมาย

5.บรั่นดี (Brandy) คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินนะ
บรั่นดีเป็นเหล้าที่นิยมกันมาก ได้จากการหมักองุ่นให้เป็นไวน์ (Wine) แล้วจึงนำมากลั่นเป็นบรั่นดี จากนั้นนำไปเก็บบ่มให้ได้ สี กลิ่น รส ที่ดี บรั่นดีที่มีขายตามท้องตลาดทั่ว ๆ ไป แบ่งเป็น 3 ประเภท
5.1 บรั่นดีพื้นเมือง (Domestic Brandy) คือบรั่นดีที่ผลิตจากองุ่นแล้วนำมากลั่นเป็นบรั่นดีอีกที เช่น Regency Brandy, German Brandy
5.2
บรั่นดีตามมาตรฐาน ((Regular Brandy) ส่วนใหญ่เป็นบรั่นดีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
5.3 บรั่นดีเกรดสูง (Premium Brandy) เป็นบรั่นดีราคาแพงที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กนาน โดยระบุคุณภาพเป็นอักษรย่อ หรือชื่อพิเศษ เช่น คอนยัค (Cognac) อาร์มายัค (Armagnac)

6.บรั่นดีผลไม้ (Fruit Brandy)
บรั่นดีผลไม้ คือบรั่นดีที่ทำจากผลไม้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ผลองุ่น ซึ่งจะให้กลิ่นรสแตกต่างกันไป แบ่งเป็น 2 ชนิด
6.1 บรั่นดีผลไม้สีขาว (White Fruit Brandy) ผลิตจากการกลั่นผลไม้ โดยไม่ต้องบ่มในถังไม้ จะได้กลิ่นหอม และรสของผลไม้นั้น ๆ นิยมแช่ให้เย็นแล้วดื่มโดยไม่ผสม หรือจะนำไปผสมในค็อกเทลต่าง ๆ ก็ได้
6.2 บรั่นดีผลไม้ที่มีสี (Colour Fruit Brandy) ผลิตจากการกลั่นผลไม้ แล้วนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ก ผลไม้ที่นำมากลั่น เช่น
แอบเปิ้ล เรียกว่า Apple Brandy, Calvados, Apple Jack
เชอร์รี่ " Kirschwasser, Kirsch
พลัม " Slivovits, Prunelle, Quetsch
แพร์ " Poire William
ราสเบอร์รี่ " Flamboise

นอกจากนี้ยังสามารถทำจากผลไม้อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งอาจเรียกบรั่นดีผลไม้ประเภทนี้ว่า "Eau-devie"

7.เหล้าหวาน (Liqueur or Cordial)
Liqueur และ Cordial มีความหมายคล้ายกัน ส่วนใหญ่คำว่า Liqueur มักจะหมายถึงเหล้าหวานของประเทศแถบยุโรป ส่วน Cordial หมายถึงเหล้าหวานของประเทศสหรัฐอเมริกา
เหล้าหวาน เป็นการผสมสุราชนิดใดก็ได้กับความหวาน และเพิ่มสี กลิ่น และรสลงไปด้วย โดยจะใช้ สี กลิ่น รสของผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศ หรือแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดของผลไม้ก็ได้ จะเห็นว่าเหล้าหวานมีสีต่าง ๆ มากมาย อาจดื่มเปล่า ๆ ผสมน้ำแข็ง ผสมค็อกเทลให้มีสีสวยงาม

8.วิสกี้ (Whisky)
วิสกี้คือสุรากลั่นที่ทำจากข้าวชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือหลายชนิดก็ได้ โดยนำมาหมักแล้วกลั่นให้มีดีกรีสูงขึ้น จากนั้นนำไปเก็บบ่มในถังไม้โอ๊ก เพื่อให้ได้สี กลิ่น รสที่ดีขึ้น แต่ก่อนจะนำมาบรรจุขวด บางชนิดยังนำไปปรุงแต่ง สี กลิ่น รสอีกครั้ง เพื่อให้ได้มาตรฐานตามความนิยมของผู้บริโภค
วิสกี้ที่นิยมาก นอกจากวิสกี้ของท้องถิ่นแล้ว วิสกี้จากต่างประเทศที่นิยมกันมากก็มี Scotch Whisky, Irish Whisky, American Whisky, Canadian Whisky ซึ่งจะมีเอกลักษณ์ในด้าน กลิ่น และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป

9.ไวน์ (Wine)บางคนอาจเคยดื่มนะ
ไวน์ หรือที่เรียกว่าเหล้าองุ่น ที่เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
9.1 Table Wine หรือ Still Wine คือไวน์ที่หมักจากองุ่น โดยไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป ไม่มีแก๊ส ดีกรีที่นิยม 10o-13o นิยมดื่มในทุกโอกาส แต่ส่วนใหญ่ดื่มประกอบอาหาร เพื่อเจริญอาหารและชูรสชาติของอาหาร มี 3 สี
- ไวน์แดง (Red Wine) จะมีตั้งแต่สีแดงอ่อน ถึงแดงเข้ม ขึ้นอยู่กับชนิดขององุ่นที่นำมาหมักและระยะเวลาในการหมัก ส่วนใหญ่ไวน์แดงจะมีรสฝาด และให้มีรสหวานน้อยมาก เรียกว่า Dry นิยมดื่มโดยไม่แช่เย็น
-ไวน์ขาว (White Wine) จะมีตั้งแต่เหลืองซีดจนถึงเหลืองทอง ลักษณะโดยทั่วไปจะมีรสอ่อน กลิ่นน้อย ความหวานมีตั้งแต่หวานน้อยจนถึงหวานมาก ไม่มีรสฝาด นิยมดื่มโดยแช่เย็น
- ไวน์สีชมพู (Rose Wine) จะมีสีตั้งแต่ชมพูอ่อนจนถึงเกือบแดง ไวน์สีชมพูจะมีลักษณะระหว่างไวน์ขาวกับไวน์แดง คือมีความฝาดเล็กน้อยและมีรสเปรี้ยวอมหวาน จึงเป็นที่นิยม เพราะดื่มง่าย นิยมแช่เย็นก่อนดื่ม
9.2 Sparkling Wine คือไวน์ที่มีแก๊สจึงทำให้มีรสซ่ามีทั้งสีขาว ชมพูและแดง Sparkling Wine ใช้กรรมวิธีในการหมักไวน์ซ้ำเป็นครั้งที่สองภายในขวด และเก็บรักษาแก๊สนี้ไว้ จึงทำให้เกิดรสซ่า เป็นที่นิยมกันมาก จึงมีการจดลิขสิทธิ์ไว้ในชื่อ "Champagne" ของฝรั่งเศส ส่วนไวน์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีคล้ายคลึงกันจะใช้คำว่า Sparkling Wine
แชมเปญนิยมดื่มเพื่อแสดงความยินดีต่อกัน เสิร์ฟโดยแช่เย็นจัด
9.3 Fortified Wine คือไวน์ที่เพิ่มแอลกอฮอล์ให้สูงประมาณ 18o - 19o ดีกรี จะมีกลิ่น รส และแอลกอฮอล์มากกว่าไวน์ธรรมดา แช่เย็นเพียงเล็กน้อยก่อนดื่ม

10.รัม (Rum)
รัมเป็นเหล้าที่กลั่นจากอ้อยหรือกากน้ำตาล ผลิตมากตามหมู่เกาะฝั่งทะเลคาร์เบียนซึ่งปลูกอ้อยกันมาก แต่ก็มีผลิตจำหน่ายหลายประเทศ เช่น Puertorico, Jamaica, Barbados เป็นต้น Punch
รัมแยกตามความนิยมเป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ
10.1 รัมสีขาว (White Rum) เป็นรัมที่มีสีใส บางชนิดไม่ต้องเก็บบ่ม บางชนิดต้องเก็บบ่มในถังไม้เพื่อให้กลิ่นรสดีขึ้น บางครั้งเรียกว่า Silver Rum เหมาะสำหรับนำไปผสมค็อกเทลที่ไม่ต้องการให้สีเปลี่ยน
10.2 รัมสีทอง (Gold Rum) เป็นรัมที่มีสีเหลืองใส ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี หรือผสมสี กลิ่น รสชาติ ด้วยคาราเมล (Caramel) ที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาล เป็นสีเหลืองทอง เพื่อให้ได้เหล้ารัมที่มีกลิ่น สี รสชาติมากขึ้นกว่าเดิม
10.3 รัมสีดำ (Dark Rum) เป็นรัมที่มีสีเกือบดำ ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี และผสมกับคาราเมลที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาลจนเป็นสีดำเกือบไหม้ จะได้กลิ่นและรสชาติมากขึ้น
เหล้ารัมนิยมนำไปผสมเป็นค็อกเทลมาก ที่รู้จักกันมากคือ Rum Coke หรือ Cuba Libre นอกจากนี้ยังนำไปผสมกับเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำผลไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เรียกว่า Punch จะเป็นเครื่องดื่มที่เข้ากันได้ดีมากกับรัม
เหล้ารัมที่จำหน่ายจะมีดีกรีราว 40 ดีกรี แต่มีหลายชนิดผลิตให้มีดีกรีสูงมากถึง 75.5 ดีกรี หรือที่เขียนว่า 151 Proof เพื่อให้เครื่องดื่มผสมมีความแรงเพิ่มขึ้น

และแล้วก้อมาถึงเหล้าที่แพงที่สุดในโลกคือ


V
ielle Bon Secours เป็น เบียร์ แพงที่สุดในโลก ด้วยราคาขวดละประมาณ 35,000 บาทต่อขวด ( 1,000 เหรียญยูเอส ) แต่คุณไม่สามารถหาดื่มได้ทั่วไป คุณสามารถหาดื่มได้เพียงแห่งเดียวในโลก ที่บาร์ Bierdrome กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เท่านั้น

สุราแพงที่สุดในโลก


สุราไทย

สุราต่างประเทศ




วิสกี้ Johnnie Walker 
 ลักษณะประเภทของวิสกี้ เราแบ่งวิสกี้ตามวัตถุดิบ จะมีวิสกี้ 2 แบบ คือ แบบเกรนวิสกี้ และ แบบมอลต์วิสกี้ แต่เราแบ่งโดยใช้ลักษณะของการผสม หรือ การกลั่นเราจะแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ เบลนเดตวิสกี้ และ ซิงเกิลมอลต์วิสกี้

- เบลนเดตวิสกี้คือ การนำเอา เกรนวิสกี้ กับ มอลต์วิสกี้มาผสมเข้าด้วยกันครับ เช่น ชีวาส และตระกูลคนเดินทน เว้น ฉลากเขียว เป็นต้น

- ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ คือ วิสกี้ที่เกิดจาก มอลต์วิสกี้ที่ผ่านการกลั่นโดยโรงกลั่นเพียงครั้งเดียว ไม่มีการผสมมอลต์อื่น เช่น Glenfiddich

- เบลนมอลต์ คือ วิสกี้ที่เกิดจากการผสม มอลต์วิสกี้ต่างชนิดเข้าด้วยกัน เช่น จอห์นี่วอลเกอร์ ฉลากเขียว



Johnnie Walker เป็น เบลนเดตวิสกี้ (Blended whiskey) ซึ่งไม่ได้ทำมาจากมอลท์วิสกี้ตัวเดียว (Single Malt) เกือบทุกรุ่นจะผสม Grain Whiskey เป็นวิสกี้ที่ผลิตจากข้าว หรือ ธัญพืชอย่างอื่น(ที่ไม่ใช่บาร์เลย์) เพียงอย่างเดียว ซึ่งทำมาจากข้าวคนละพันธ์หรือวิธีการหมักคนละวิธี

มีเพียงฉลากเขียวเท่านั้นที่ทำมาจากมอลท์ล้วน ซึ่งก็ไม่ใช่ Single Malt อีกเช่นกัน แต่เป็น Blended Malt นั่นคือเอา Single Malt หลายตัวมาผสมกัน ซึ่งจากที่ผมเคยดื่มฉลากเขียวจัดว่ารสชาตินั้นโอเคเลยทีเดียว

ปัจจัย ที่ทำให้วิสกี้แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกัน ทั้งทางด้านสีสัน รสชาติ และกลิ่น มีตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ที่แตกต่าง นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพลจากหินถ่าน ที่เรียกว่า พีต (Peat) ที่ใช้ในการเผาเมล็ดธัญพืชก่อนที่จะมากลั่น หินถ่าน ที่ได้จากแต่ละแห่งของสกอตแลนด์ จะให้กลิ่นที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับชนิดของยีสต์ ที่ใช้ในการหมักบ่มก็ส่งอิทธิพลต่อรสชาติของวิสกี้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพลอื่นๆ อย่าง หม้อกลั่นรูปทรงต่างๆ และที่สำคัญมากๆ ก็คือ น้ำที่นำมาใช้ในการกลั่น สำหรับในสกอตแลนด์ ที่มีโลว์แลนด์ ไฮแลนด์ และสเปรย์ไซด์ ก็จะมีน้ำที่รสชาติแตกต่างกัน

ค่า นิยมการดื่ม Johnnie Walker นี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ เปิดตามาก็เจอโฆษณาและเห็นคนดื่มรุ่นก่อน ส่วนใหญ่จะบริโภค Johnnie Walker จึงทำให้เป็นภาพติดตา และพอเริ่มดื่มให้คุ้นลิ้นคุ้นคอกันมาเรื่อย ประกอบกับการประโคมโฆษณาตามสื่อทำให้ขายดีเข้าไปใหญ่

ลองมาทำความรู้จักกับน้ำเมาตระกูลนี้ กันเป็นรายป้ายเลยดีกว่าว่ามีรายละเอียดคร่าว ๆ กันอย่างไรบ้าง


Johnnie Walker Red Label - บ่ม 8 ปี 
นี่คือวิสกี้ที่ขายดีที่สุดในโลก และเป็นวิสกี้ระดับแสตนดาร์ดแบรนด์ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย
วันนี้ มาทำความรู้จัก Red Label กันให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ

Red Label หรือในอดีตชื่อ JW Special Old Highland (เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Red Label ในปี 1909)
เป็นวิสกี้ตระกูล JW ชนิดเดียว ที่ไม่ได้เป็น Scoth Whisky แท้ 100%
หากแต่ว่า JW เน้นไปที่รสชาดของวิสกี้ ที่สามารถปรับให้เข้าได้กับทุกสถานการณ์
มีทั้งความหวาน ความนุ่ม และความเผ็ดร้อนในเวลาเดียวกัน

Red Label เป็น Blended Whisky ที่ผ่านการผสมมาจาก Malt และ Blended Whisky 35 ชนิด
เป็น JW หนึ่งในไม่กี่ชนิด ที่ผลิตออกมาในขนาดที่แตกต่างกันออกไป
แต่ทุกขวดจะมีลักษณะเหมือนกันคือ ขวดทรงสี่เหลี่ยม และ ฉลากสีแดงขอบทอง
สัญลักษณ์เด่นอีกอย่างคือ ไสตรดิ้งแมน หรือกล่องของ Red Label
ที่สามารถนำมาเรียงต่อกันกลายเป็นฉลาก Red Label ขนาดใหญ่ได้

ข้อแนะนำในการดื่ม Red Label
สำหรับการดื่ม Red Label นั้น ไม่มีวิธีการดื่มทีแนะนำตายตัวมาจาก JW
สามารถดื่มผสมกับอะไรก็ได้ กินเพียวก็ได้ หรือจะนำไปทำค๊อกเทลก็ยังได้
บวกด้วยเรื่องของราคา ทำให้ Red Label เป็นเหล้าที่ขายดีที่สุดในปัจจุบัน 



Johnnie Walker Black Label - บ่ม 12 ปี

เป็น เบลนวิสกี้ (Blended Whisky)  คือเอาทั้ง มอลท์ และ เบลนมาผสมกัน
นี่คือวิสกี้ที่ JW ยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของวิสกี้ตระกูล JW ทั้งหมด
Johnnie Walker Black Label เป็น Blended Whisky อายุ 12 ปี
เป็นวิสกี้ Johnnie Walker ที่เก่าแก่ที่สุด โดยวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1865
ในชื่อของ Walker's Old Highland ก่อนจะมาใช้ชื่อ Extra Special Old Highland ในปี 1906 - 1908
และสุดท้ายในปี 1909 ก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Black Label จนถึงทุกวันนี้

ลักษณะเด่นของ Black คือกลิ่นหอม รมควันถ่านพีท กลิ่นขิงวานิลลา และกลิ่นผลไม่อย่างลูกแพร และแอปเปิ้ล
และส่วนผสมจาก เกรนและมอลท์ วิสกี้กว่า 40 ชนิด ผสมผสานออกมาเป็น JW Black Label ในปัจจุบัน

วิธีการดื่ม JW Black Label ที่ดีที่สุด จำกันเอาไว้นะครับ
Black จะต้องดื่มโดยผสมกับน้ำและน้ำแข็ง เพื่อที่จะทำให้ได้กลิ่นของบุหรี่แห้ง
กลิ่นของวานิลลา และกลิ่นของผลไม้ ที่จะอบอวลขึ้นมาหลังจากได้สัมผัสกับน้ำ
การผสมน้ำจะทำให้ได้รสของวิสกี้ที่ Strong ขึ้น (ภาษาไทยน่าจะเป็นคำว่า เข้มขึ้นครับ)


Johnnie Walker Green Label - บ่ม 15 ปี

รู้หรือไม่ว่า Green Label เป็น Rare Whisky ราคาถูก ที่หาซื้อได้เพียงในบางประเทศเท่านั้น
ถ้าไม่รู้ ลองอ่านดูครับ มีเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ Green Label อีกเยอะ

JW Green Label หรือ ในอดีตที่เราคุ้นเคยในชื่อของ JW Pure Malt
เป็นวิสกี้น้องใหม่ที่สุดในบรรดา 5 Label ทั้งหมด

ความพิเศษของวิสกี้ที่หมักบ่มนาน 15 ปีชนิดนี้ อยู่ตรงที่ Green Label เป็นวิสกี้ชนิดเดียวที่มีเพียงส่วนผสมของ Malt Whisky
โดยไม่มี Grained Whsiky ผสมอยู่เลย แถมส่วนผสมวิสกี้ทั้ง 15 ชนิดที่นำมา Blended จนกลายเป็น Green Label นั้น
มาจากแหล่งกำเนิด Whisky ชั้นดีของสก๊อตแลนด์คือ Talisker, Cragganmore, Linkwood, และ Caol Ila
จนกลายเป็น Pure Malt Green Label ในปัจจุบัน

วิธีการดื่ม Green Label ให้ได้รสชาติมากที่สุด จำไว้นะครับ
ให้กินในแบบของ On the Rock ด้วยการริน Green Label ลงในแก้วพอประมาณก่อน
หลังจากชิมและรับกลิ่นรมควันจางๆและไอทะเล กลิ่นถังเชอรรี่ รวมถึงผลไม้ชนิดต่างๆ
เช่น แอพพริคอท ผิวส้ม พีช บวกกับกลิ่นเปลือกไม้ป่า และหญ้าอ่อน

หลังจากนั้นจึงใส่น้ำแข็งตามไป 1 - 2 ก้อน จะได้เห็นน้ำมันของวิสกี้ Fusil Oil
และจะได้รับกลิ่นที่หอมเข้มข้นขึ้นตามลำดับ เมื่อวิสกี้ได้สัมผัสความเย็น

Green Label มีเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อดื่มแล้วรสชาติจะแตกต่างกันทุกครั้ง
จากส่วนผสมต่างๆของ Pure Malt ทั้ง 15 ชนิดนั่นเอง 


ohnnie Walker Gold Label -  บ่ม 18 ปี

วิสกี้สีทอง ที่มีลักษณะการดื่มให้ได้รสชาติดีที่สุด ที่ต่างออกไปจากเพื่อนร่วมตระกูล

Gold Label ถูกเปิดตัวขึ้นเมื่อปี 1920 ในโอกาสครบรอบ 100 ปี Johnnie Walker
เป็นที่มาของคำว่า Century Blend ที่จารึกอยู่บนฉลากของ Gold ทุกขวด

วิสกี้ หายากทุกชนิดที่ผสมออกมาเป็น Gold มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี รวมทั้งน้ำแร่บริสุทธิ์ และถังสำหรับหมัก รวมทั้งส่วนผสมหลักคือ Clynelish ซึ่งเป็นวิสกี้มอลท์ที่หายาก และราคาสูง ทำให้เกิดสีทอง ในตัววิสกี้ Gold ขวดนี้

เนื่องจากการดื่มวิสกี้ ไม่จำเป็นจะต้องคำนึงว่า วิสกี้จะเกิดการแข็งตัวเมื่อนำไป Frozen หรือ แช่ให้เย็นจัด โดยเฉพาะ Gold ขวดนี้ยิ่งคุณได้สัมผัสมัน ด้วยความเย็นมากเท่าไหร่รสชาติและกลิ่นของ Gold ขวดนี้ จะยิ่งนุ่มและอบอวลขึ้น

การจิบควรจิบทีละน้อย และยิ่งถ้าได้ ช็อคโกแลต มารับประทานด้วยแล้ว
คุณจะได้สัมผัส ความพิเศษ ว่าทำไม วิสกี้ขวดนี้ จึงได้รับให้ประดับด้วยฉลากสีทอง


Johnnie Walker Blue Label  - บ่ม 25 ปี 

นี่คือวิสกี้ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในวิสกี้ ที่ดีที่สุดในโลก
นี่คือการผสมผสานของ เกรนวิสกี้ และ มอลท์วิสกี้ จำนวน 16 ชนิด
ที่ต้องบอกว่า แพงที่สุดในโลก เพราะอะไรนั่นหรือ

เพราะในจำนวน 16 ชนิดดังกล่าว มีบางชนิดที่ผ่านการหมักบ่มมากว่า 60 ปี
และที่สำคัญ ในจำนวนวิสกี้ 1 ล้านถัง ที่ดิอาจิโอ ทำการผลิต
จะมีเพียง 1 หรือ 2 ถัง เท่านั้น ที่นำมาเป็นส่วนผสมของ Blue Label
ทุกขวดจะมีหมายเลขกำกับ เพื่อแสดงถึงจำนวนที่ผลิตว่า หาได้ยากยิ่งขนาดไหน

Blue ขวดนี้ จะมีจุกขวดที่ทำจากไม้ก๊อก หุ้มตะกั่วสีทอง
มีกล่องบรรจุใส่เป็นสีน้ำเงิน และทอง บุภายในด้วยผ้าซาตินอย่างดี

การดื่ม จำไว้ว่า อย่าเอาไปผสมมิกเซอร์
การดื่มที่ดีที่สุด แน่นอนครับ วิสกี้ระดับนี้ จะต้องเป็นการดื่มแบบ จิบวิสกี้ โดยไม่เติมอะไร
หรือภาษาบ้าน ๆ ก็เรียกว่า ดื่มกันเพียว ๆ นี่แหละครับ
เจ้าของ JW บอกมาว่า จะให้ดี ควรจะอมน้ำแข็งให้เกิดความเย็นในปาก
เมื่อน้ำแข็งละลายหมด จึงค่อยจิบ Blue เข้าไป จะได้รับรสชาดที่ดีที่สุด

แล้วจะได้รู้ว่า วิสกี้ที่ว่ากันว่า ล้ำลึกที่สุดในโลก รสชาติเป็นเช่นใด

เทคนิคการดื่ม จอห์นนี่วอล์กเกอร์ ชั้นเทพ




เริ่มจาก ' เรด เลเบิ้ล ' (Red Label) กันก่อนเลยดีกว่า จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล น่าจะดูถูกใจคนไทยที่สุด
เพราะน้องเล็กสุดขวดนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน
พูด ง่ายๆ ก็คือกินได้นานๆ สนุกสนานกันทั้งคืนนั่นแหละ แถมวิธีการกินที่ถูกต้องนั้น ก็ต้องผสมกับ ' มิกเซอร์ ' ทั้งหลาย อันเป็นวิธีการดื่มที่นิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้วซะอีก
ตอนนี้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ก็เลยขายดีที่สุดไปโดยปริยาย ง่ายๆ จะใส่น้ำแข็ง ผสมโคล่า ชามะนาว หรือโซดาก็ได้ทั้งนั้น
สุดแล้วแต่ว่าจะชอบรสชาติแบบไหนหลังผสมมิกเซอร์แล้วเท่านั้นเอง
แต่นัก ดื่มมืออาชีพมักนิยมผสมน้ำก่อนแล้วจึงผสมโซดาตามลงไป ในอัตราส่วน2:1หรือที่เรียกกันว่า ' โซดาลอย ' นั่นเอง ...
ผสมเสร็จก็ เอ็นจอย ดริ๊งกิ้ง กันได้ทั้งคืน ( แต่อย่าขับรถหลังดื่มนะ )





โต ขึ้นมาหน่อย กับความเคร่งขรึมแบบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล วิสกี้ชั้นดีจากการหมักบ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่คลาสสิกที่สุดนานถึง 12 ปี
วิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็คลาสสิกไม่แพ้รสชาติของตัววิสกี้ เท่ๆ ดูดีด้วยสไตล์ที่เรียกกันว่า ' ออน เดอะ ร็อก ' นั่นเอง
หรือถ้าอยากย๊ากอยากจะผสมมิกเซอร์เหลือเกิน ก็ต้องใส่น้ำแข็งเข้าไปเยอะ ๆ วิสกี้ ครึ่งแก้ว และโซดาอีกครึ่งแก้ว แค่นี้แหละ
ก็จะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล



ส่วน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล อายุ 15 ปี ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้น หาน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ สักก้อน ใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียว ไม่ต้องกลัวว่าน้ำแข็งก้อนนั้นจะเหงา เพราะเราจะเฝ้ามองอย่าทะนุถนอม จาก นั้นริน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ลงไปไม่ต้องท่วมน้ำแข็ง แกว่งแก้วเล็กน้อย ให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโต ดมกลิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนลิ้มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดี
งานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง ( อันนี้เคยเสียของมาครั้งหนึ่งแล้ว )



มาถึง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล อายุ 18 ปีกันมั่ง 

แค่ นำ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ไปใส่ในช่องแช่แข็งสัก 24 ชั่วโมง ถ้าที่ในช่องแช่แข็งยังเหลือก็นำแก้วทรงสูงเปล่าๆ แช่ไว้ด้วย พอได้ เวลา ก็รินใส่แก้วที่แช่ไว้ข้างกันๆ นั่นแหละ แล้วดื่มเข้าไปเลย ทันทีที่ วิสกี้เย็นจัดปะทะกับความอุ่นในปาก กลิ่นหอมหวนนุ่มลิ้นจะอบอวล
แหม ... ยิ่งถ้ามีช็อกโกแล็ตดี ๆ ไว้กินเข้าคู่ล่ะก็ จะเป็นความสุขที่ลืมไม่ลงเลยเชียว



ปิดท้ายกันที่วิสกี้ชั้นสูง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล อายุ 25 ปี ที่หมักบ่มจากมอลต์คุณภาพสูง ตามวิธีการคลาสสิกแบบศตวรรษที่ 19 

วิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็คลาสสิกมาก เตรียมแก้วบรั่นดีสวยๆ ไว้สัก 2 ใบ
แก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ส่วนอีกแก้วนึงรินน้ำแร่เย็น ๆ ไว้เช่นกัน ดื่มน้ำแร่เย็น ๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน
จากนั้นจิบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล ในแก้วบรั่นดีอีกใบตาม
เมื่อ น้ำแร่เย็น ๆ ที่หลงเหลืออยู่ในช่องปากผสมกับวิสกี้ชั้นดีนี้ รสชาติที่แอบซ่อนจะซึมผ่านเพดานปากไปมัดใจนักดื่มเหล้าทั้งหลายไม่รู้ลืม

เสร็จ สิ้นครบทั้ง 5 เลเบิ้ลของตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กันแล้ว ต่อจากนี้นักดื่มเหล้าชาวไทยทั้งหลาย ก็จะดื่มได้แบบไม่เสียของกันแล้ว
แต่ ที่สำคัญที่สุด ดื่มแล้วจะมึนน้อยหรือมึนมาก ก็อย่าขับรถเลย เก็บชีวิตที่มีค่าไว้สัมผัสกับสิ่งดี ๆ ที่รอเราอยู่มากมายในวันข้างหน้าดีกว่า ...

ประเภทของเหล้า


ประเภท


วัตถุดิบผลิตผลที่ทำโดยการหมัก (เมรัย)ผลิตผลที่ทำโดยการกลั่น (สุรา)
บาร์เล่ย์เบียร์ เอล ไวน์บาร์เล่ย์สก๊อตวิสกี้ ไอริชวิสกี้
ข้าวไรย์เบียร์ข้าวไรย์วิสกี้ข้าวไรย์ Roggenkorn (เยอรมัน)
ข้าวโพดเบียร์ข้าวโพดเหล้าข้าวโพด
ข้าวสาลีเบียร์ข้าวสาลีวิสกี้, Weizenkorn (เยอรมัน)
ข้าวเหล้าสาเกsontimakkolituak,thwonโชจู อะวะโมะริ (ญี่ปุ่น) , โชยุ (เกาหลี) , หวงจิ่ว เชาจิ่ว (จีน)
ผลไม้ที่ไม่ใช่แอปเปิ้ลและลูกแพร์ไวน์ (ส่วนใหญ่ทำจากองุ่น)บรั่นดีคอนหยัก (ฝรั่งเศส) , Branntwein (เยอรมัน) , Pisco (ชิลี)
แอปเปิ้ล("hard") เหล้าแอปเปิ้ลapfelwein(เยอรมัน)บรั่นดีแอปเปิ้ล (or apple brandy) , Calvados, cider, lambig
แพร์perry, or pear ciderpear brandy
อ้อย, หรือ กากน้ำตาลbasibetsa-betsa (regional)เหล้ารัมcachaçaaguardienteguaroโชยุ (ญี่ปุ่น)
ว่านหางจระเข้pulqueเตกีลาmezcal
ลูกพลัมไวน์พลัมslivovitztzuicapalinca
กากผลไม้pomace winetsipourorakitsikoudia (กรีก) , grappa (อิตาลี่) , Trester (เยอรมัน) , marc (ฝรั่งเศส) , zivania (ไซปรัส)
น้ำผึ้งเหล้าน้ำผึ้งน้ำผึ้งหมัก
มันฝรั่ง หรือ ธัญพืชเบียร์มันฝรั่งวอดก้า (โปแลนด์และเยอรมัน) ส่วน aquavit หรือ brännvin (สวีเดน) , akvavit (เดนมาร์ค) , akevitt (นอร์เวย์) , brennivín (ไอซ์แลนด์) ทำจากมันฝรั่งของไอร์แลนด์Poitínโชชู (ญี่ปุ่น)
นมKumisAraka

ประเภท


สุราไทย




สุราขาว 28 - 40 ดีกรี

สุรา แสงโสม 

สุรา แม่โขง

ประวัติของสุรา



สุรา


สุรา (อังกฤษliquor หรือ spirit) หมายถึง น้ำเมาที่ได้จากการกลั่นสารบางประเภท อาทิ เอทิลแอลกอฮอล์ และเมรัย คือ น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ให้เกิดสารบางประเภท เมื่อดื่มแล้วสารนั้นจะออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง หากดื่มไม่มากอาจรู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากสารกดจิตใต้สำนึกที่คอยควบคุมตนเองทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น แต่เมื่อดื่มมากขึ้นก็จะกดสมองบริเวณอื่น ๆ ทำให้เสียการทรงตัว พูดไม่ชัด จนแม้กระทั่งหมดสติในที่สุด ทั้งสุราและเมรัยเรียกโดยภาษาปากว่า "เหล้า"
ประเทศต่าง ๆ ได้วางกฎเกณฑ์สำหรับการผลิต การขาย และการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตัวอย่างเช่น กฎหมายที่กำหนดอายุขั้นต่ำสำหรับผู้ที่สามารถบริโภคได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น อายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีสำหรับประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์, ไม่ต่ำกว่า 18 ปีในประเทศไทย หรือไม่ต่ำกว่า 21 ปีในสหรัฐอเมริกา
การบริโภคทั้งสุราและเมรัยเป็นข้อห้ามในข้อสุราเมรยมัชปมาทัฏฐานหรือข้อที่ 5 แห่งเบญจศีลของพุทธศาสนา ซึ่งว่า "สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ" แปลได้ว่า "เราจักถือศีลโดยเว้นจากการบริโภคสุรายาเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท"




การผลิต

การทำเมรัยอาศัยยีสต์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดหนึ่งเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ เมรัยผลิตได้จากวัตถุดิบทุกอย่างที่มีน้ำตาล แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เมรัยทำจากน้ำตาลโตนดเรียกว่าน้ำตาลเมาหรือตวาก จากน้ำตาลขององุ่นเรียกว่าไวน์ เป็นต้น มนุษย์ยังรู้จักใช้เชื้อรา (บางชนิด) เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ ทุกอย่างที่เป็นแป้ง เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ สามารถใช้ผลิตเมรัยได้ สาโท น้ำขาว อุและ กระแช่ ผลิตจากแป้ง หากต้องการให้มีฤทธิ์แรงขึ้นก็นำเอาไปกลั่นเป็นสุรา หลังจากนั้นสามารถนำไปดื่มหรือนำไปหมักหรือบ่มต่อไป


เภสัชวิทยาของเหล้า


เหล้ามีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ แม้ว่าในเหล้าชนิดต่าง ๆ ยังมีสารอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดเอกลักษณ์ของเหล้าชนิดนั้น ๆ โดยเฉพาะเหล้าที่นำมาหมักดองกับสมุนไพรเพื่อปรุงแต่งสี กลิ่น รสชาติและสรรพคุณ เช่น เหล้าดองยาของไทย เหล้าเซี่ยงชุนของจีน เหล้าแคมปารี ของอิตาลี เป็นต้น สารปรุงแต่งเหล่านี้เมื่อดื่มในปริมาณมาก หรือ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาจส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ดื่มได้ แต่เมื่อดื่มในระยะเฉียบพลัน อาการต่าง ๆ ของผู้ดื่มนับได้ว่าเกิดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น
แอลกอฮอล์เป็นของเหลว ใส ระเหยได้ง่าย ละลายน้ำได้ดี มีกลิ่นเฉพาะตัว และ ติดไฟได้ง่าย แอลกอฮอล์เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบไปด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ความรุนแรงของการออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในกระแสโลหิต แอลกอฮอล์ที่กินได้ คือแอลกอฮอล์ชนิดเอทิล ส่วนแอลกอฮอล์ชนิดอื่นล้วนกินไม่ได้และเป็นพิษต่อร่างกายมากยิ่งไปกว่าเอทิล ถ้าเอาแอลกอฮอล์ชนิดอื่น เช่น เมทิลแอลกอฮอล์มาผสมเป็นเหล้า กินเข้าไปแล้วทำให้ปวดหัว ตาพร่า จนบอด และถึงกับเสียชีวิตได้
เมื่อกินเหล้าเข้าไปผ่านกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้เล็ก แอลกอฮอล์ในเหล้าจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตและกระจายไปทั่วร่างกาย เมื่อกินอาหารมาก่อน แอลกอฮอล์ใช้เวลา 1 ถึง6 ชั่วโมง จึงจะถูกดูดซึมไปถึงระดับสูงสุดในเลือด แต่ถ้ากินเหล้าในขณะที่ท้องว่าง แอลกอฮอล์ใช้เวลาถูกดูดซึมสู่ ระดับสูงสุดในเลือด เพียง 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง แอลกอฮอล์ในร่างกายถูกกำจัดโดยตับเป็นส่วนใหญ่ (95 เปอร์เซ็นต์) ที่เหลือถูกขับออกทางลมหายใจ ปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ น้ำนม และน้ำลาย
แอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เกิดการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย แอลกอฮอล์ในปริมาณมากทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เกิดอาการอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ แอลกอฮอล์ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ผู้ที่กินเหล้าจึงปัสสาวะบ่อย สูญเสียน้ำและรู้สึกกระหายน้ำมากในเวลาต่อมา อีกประการหนึ่ง บรรยากาศวงเหล้า ผนวกกับพลังงานที่ได้จากเหล้ามักทำให้ผู้ดื่มไม่รู้สึกอยากอาหาร ดังนั้นผู้ที่กินเหล้าเป็นนิจจึงอาจขาดสารอาหารได้ ที่สำคัญแอลกอฮอล์ทำให้เกิดความเสียหายที่เนื้อตับ คนกินเหล้าจึงมีโอกาสเป็นตับอักเสบมากกว่าคนไม่กินและอาจพัฒนาไปถึงขั้นตับวายได้

เหล้ากับสุขภาพ

มีความเชื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับฤทธิ์ของเหล้าและแอลกอฮอล์ ถูกบ้างผิดบ้าง ผู้ที่นิยมดื่มก็มักอ้างฤทธิ์อันเป็นคุณของเหล้าหรือแอลกอฮอล์มาบดบังฤทธิ์ที่ก่อให้เกิดโทษซึ่งมีมากกว่าหลายเท่านัก เช่น แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้จริงแต่ไม่สามารถทำลายไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิที่ปะปนมากับกับแกล้มดิบ ๆ สุก ๆ ได้ และยิ่งไม่สามารถฆ่าพยาธิ์ตัวแก่ในลำไส้ได้ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ผู้นิยมดื่มก็มักอ้างว่ากินเหล้าเพื่อให้เลือดลมดี ซึ่งก็เป็นจริงเมื่อกินเหล้าในปริมาณน้อย (ถึงน้อยมาก) แต่เมื่อกินเหล้ามาก แอลกอฮอล์จะกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้พูดจาไม่ชัด ทรงตัวลำบาก สายตาพร่ามัว ขาดสติ ตับแข็ง และอาจเกิดอันตรายนานับปการต่อผู้ดื่มและคนรอบข้าง

ตัวอย่างเหล้า  ตรา Johnie Walker